แดนมธุรส

แดนมธุรส

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

อ.ไชยวรศิลป์ หรือ อำพัน ไชยวรศิลป์ เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2461 นับเนื่องถึงปีปัจจุบัน 2564 ก็ถือได้ว่า 103 ปีชาตกาลของผู้เขียนเลยทีเดียว ท่านเกิดที่อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เนื่องจากนิสัยรักการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้ลองเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรก ‘หนทางรัก’ ลงใน เดลิเมล์วันจันทร์ ในปี พ.ศ. 2476 เมื่องานเขียนเรื่องแรกประสบความสำเร็จ ทำให้มีผลงานชิ้นต่อๆ มา

เนื่องจาก อ.ไชยวรศิลป์ เติบโตมากับชีวิตชนบท รักทุ่งนา สนใจชีวิตชาวนา งานเขียนจึงมักจะสะท้อนภาพชีวิตบุคคลต่างๆ ในชนบท และจำลองภาพป่าเขาลำเนาไพร ท้องทุ่งท้องนามาประกอบเป็นฉาก ผลงานเขียนที่โดดเด่นที่สุด โดยไม่มีนักเขียนคนใดทำได้เท่าเทียมคือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตชาวเมืองเหนือ

ข้อมูลในหนังสือประวัตินักเขียนไทยของกรมศิลปากร ที่สำรวจงานเขียนจนถึง ปี พ.ศ. 2519 พบว่า มีประมาณ 300 เรื่อง โดยเป็นเรื่องยาว ประมาณ 30 เรื่อง และ แดนมธุรส ก็เป็นหนึ่งในผลงานเหล่านี้

แดนมธุรส เป็นผลงานนวนิยายขนาดสั้น สามสิบกว่าบท ที่สะท้อนภาพชีวิตสามสาวพี่น้อง ลูกสาวผู้ใหญ่อินและนางอุ่นเรือนแห่งหมู่บ้านทุ่งศรีงาม ประกอบด้วยกิ่งแก้ว พี่สาวคนโตที่ขาพิการเพราะอุบัติเหตุ แววดาว น้องสาวคนรอง ที่มีความสะสวยงดงามและเป็นครูโรงเรียนประชาบาลแห่งหนึ่ง และน้องนุชสุดท้อง ที่มีความสวยงามเหนือพี่น้องทั้งหมดก็คือ ดวงมณี

ด้วยความที่ดวงมณีมีหน้าตาสะสวยงดงาม แม้จะอยู่ในวัยเพียงสิบหกปี ทำให้เธอถูกส่งเข้าประกวดความงามในการประกวดต่างๆ มากมาย จนมาถึงตำแหน่งนางงามประจำจังหวัด และนั่นเองคือจุดพลิกผันสำคัญ เมื่อน้านิภาวรรณ ได้ชักชวนให้เธอลงมาที่บ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อหาทางพาดวงมณีให้ไปเป็นดาราชื่อดัง

ที่บ้านของนิภาวรรณ ยังมีนายวิภาคย์ สามีของน้าสาวเธอ ที่เป็นพ่อค้า และเล็งเห็น ผลประโยชน์จากความสวยของดวงมณี ทั้งคู่พาเธอไปแนะนำกับบรรณาธิการนิตยสารชื่อดัง และบรรดานักข่าวบันเทิง ที่ช่วยกันปลุกปั้น เพื่อให้ดวงมณีได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ จนเธอได้รับโอกาสแสดงภาพยนตร์กับวรพจน์ ดาราหนุ่มยอดนิยมในยุคนั้น

ดวงมณีเองรักใคร่นับถือกิ่งแก้วพี่สาวคนโตมาก กิ่งแก้วแม้จะพิการ แต่ก็เป็นคนตั้งใจใฝ่รู้ พยายามเสาะหาหนังสือต่างๆ มาอ่านและคอยพร่ำสอนเธอในเรื่องการวางตัวและค่านิยมต่างๆ ในชีวิต แม้ว่าบิดามารดาจะสนับสนุนให้เธอไปอยู่กับน้านิภาวรรรณ แต่ดวงมณีเองก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับแสงสีและมนต์มายาเหล่านั้น เธอยังตั้งความหวังว่าจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่บ้านทุ่งศรีงามร่วมกับพี่น้อง และยังมีสิงห์ทอง เพื่อนชายคนสนิท ที่ไปเรียนต่อวิชาการเกษตร ที่แม่โจ้เอง คอยติดตามข่าวคราวของเธอด้วยความรักและห่วงใย

ที่ทุ่งศรีงามนั้นเอง แววดาว พี่สาวคนรอง ได้เห็นภาพข่าวดวงมณีที่เฉิดฉายอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ ทำให้หญิงสาวอดนึกเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ แววดาวมีความทะเยอทะยานมากกว่าดวงมณี เพียงแต่เก็บมันเอาไว้ โดยได้แต่คิดฝันมาตลอดว่าสักวัน หล่อนจะหลุดพ้นไปจาก ชีวิตบ้านนาที่ต้องขี่จักรยานตากแดดไปทำงานที่โรงเรียนประชาบาลทุกวัน

จนเมื่อถึงช่วงวันหยุดยาว ที่ทำให้แววดาวตัดสินใจลงไปเยี่ยมดวงมณีที่กรุงเทพฯ และมีโอกาสได้พบกับผู้กำกับภาพยนตร์ ที่กำกับการแสดงของดวงมณี และชักชวนเธอให้มาเล่นเป็นตัวประกอบ แววดาวจึงตัดสินใจ อาศัยอยู่ที่บ้านของน้านิภาวรรณต่อ โดยไม่กลับไปทุ่งศรีงามอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน หล่อนก็สนิทสนมกับวรพจน์ ดาราชายรูปงาม แม้ว่าดวงมณีจะพยายามตักเตือนพี่สาวให้ระมัดระวังตัว เพราะวรพจน์เองก็มีข่าวคราวกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา โดยไม่เคยจริงจังกับใคร แต่แววดาวกลับมองว่าเป็นเพราะน้องสาวริษยาตัวเอง ไม่ต้องการให้เป็นดาราเหมือนตน ทำให้ทั้งคู่หมางเมินต่อกัน ดวงมณีเสียใจมาก และเมื่อเธอต้องการจะกลับไปยังบ้านทุ่งศรีงามตามเดิม ก็ทราบความจริงว่า น้านิภาวรรณที่แสนดี ได้ร่วมมือกับนายวิภาคย์เอาเงินของเธอไปใช้ โดยหาผลประโยชน์จากตัวเธอเอง ทำให้ดวงมณีตัดสินใจที่จะหนีจากน้านิภาวรรณ กลับมายังทุ่งศรีงาม

ที่ทุ่งศรีงาม กิ่งแก้ว มีโอกาสรู้จักกับอำนาจ ชายหนุ่มชาวกรุงผู้มีอุดมการณ์ และต้องการมาประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่นี่ ยิ่งเมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับกิ่งแก้ว ที่มีความรู้ ความคิด ทำให้เขาประทับใจเธอ จนมองข้ามรูปกายที่พิการนั้น และเกิดเป็นความรักระหว่างกัน อำนาจช่วยเหลือเพื่อพากิ่งแก้ว มาผ่าตัดรักษาขาพิการของเธอที่กรุงเทพฯ อย่างเต็มใจ ทั้งคู่สัญญาว่าจะแต่งงานกันและใช้ชีวิตร่วมกันยังไร่ที่อำนาจมาสร้างมันขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง

“เพราะฉะนั้น คุณอำนาจจึงรักพี่กิ่งแก้วของเราเท่าชีวิต เธอจึงเหมาะสมที่จะเข้าไปครอบครองไร่ของคุณอำนาจ และครองหัวใจของเขาอีกด้วย เธอรู้หรือเปล่าว่า พี่กิ่งแก้วเขาตั้งชื่อไร่ของคุณอำนาจไว้ว่าอย่างไร?”

เด็กสาวสั่นศีรษะ ทำตาโตมองดูเพื่อนชาย

“พี่กิ่งแก้วตั้งชื่อไร่ของคุณอำนาจว่า แดนมธุรส จำไว้นะ ต่อไปจะไม่มีที่ไหนเป็นแดนแห่งความสุข เท่ากับแดนมธุรสของคุณอำนาจอีกแล้ว”

เมื่อดวงมณีหันหลังให้กับวงการบันเทิง  แววดาวก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นดาวจรัสแสงทดแทน อย่างภาคภูมิและหยิ่งผยอง ทว่าเธอก็พลาดท่าให้กับคุณวรพจน์ ด้วยความหลงและหยิ่งทะนงในตัวเอง แต่แล้วเมื่อวรพจน์ได้พบกับผู้หญิงคนอื่นที่มีฐานะและความสวยมากกว่าเธอ เขาก็พร้อมจะหันไปคบหา โดยไม่เคยคิดว่าจะหยุดที่เธอเป็นคนสุดท้าย แววดาวเสียใจ และเมื่อนายวิภาคย์ สามีน้านิภาวรรณ เข้ามาหา หญิงสาวก็ตกเป็นภรรยาลับๆ ของนายวิภาคย์ไปอีกคนหนึ่ง

น้านิภาวรรณเอง ในอดีตก็เคยเป็นเมียน้อยของนายวิภาคย์มาก่อน หากคราวนี้ เธอกลับต้องกลายมาเป็นภรรยาหลวง โดยมีหลานสาวตัวเองเป็นเมียน้อย และข่าวฉาวเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดออกไป ทำให้ดาวจรัสแสงอย่างแววดาวก็ร่วงหล่นลงสู่ดินในพริบตา

ความจริงเธอไม่ได้รักนายวิภาคย์เลยแม้แต่น้อย หัวใจของแววดาวยังโหยหาวรพจน์พระเอกหนุ่มรูปงามอยู่มิคลาย แม้ว่าเขาจะปฏิเสธเธออย่างเหี้ยมโหดไม่ไยดีเลยก็ตาม จนทุกอย่างมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อถึงวันเปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่องเอกที่ดวงมณีเคยแสดงนำกับวรพจน์เรื่องก่อนหน้านั้น และดวงมณีก็เดินทางมายังกรุงเทพฯ อีกครั้ง

เรื่อง : แดนมธุรส

ผู้เขียน : อ.ไชยวรศิลป์

สำนักพิมพ์ : คลังวิทยา

ปีที่พิมพ์ : 2507

เล่มเดียวจบ

แววดาว เสียใจที่เคยเข้าใจความหวังดีของน้องสาวผิดไป ยิ่งเมื่อได้ฟังดวงมณีเอ่ยให้สัมภาษณ์นักข่าว ถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตที่จะกลับไปสมัครเป็นครูประชาบาลและทำงานที่ทุ่งศรีงามบ้านเกิดของตัวเอง แววดาว อยากจะเข้าไปหาน้องสาวและพี่กิ่งแก้วที่ต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แต่เธอก็ไม่กล้าพอ

ตอนนี้ไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว หญิงสาวมาดักรอพบกับวรพจน์เพื่อปรับความเข้าใจกับเขาให้รู้เรื่อง ทั้งคู่นั่งรถออกไปด้วยกัน ก่อนที่จะทะเลาะกันรุนแรง และในที่สุด แววดาวก็ตัดสินใจ จับพวงมาลัยรถของเขาหักออกนอกเส้นทาง จนชนกับต้นไม้ และเสียชีวิตไปพร้อมกัน

อ.ไชยวรศิลป์ ได้กล่าวในคำนำของนวนิยายเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ชีวิตของคนเรา นอกจากจะต้องการอาหาร สถานที่อยู่ เสื้อผ้าและยารักษาโรค ตามที่ทางศาสนาประมวลไว้ในปัจจัยสี่แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งจะขาดเสียมิได้ เราอาจจะสมมติชื่อว่า “มธุรส” หรือ รสหวานแห่งชีวิต ที่มนุษย์ปุถุชนใคร่คิดและใฝ่หาทุกรูปทุกนาม มันอาจหมายถึง ความรัก ความหวัง ความสุข หรือความสำเร็จ ฯลฯ แต่บางครั้งมันได้กลายเป็นรสขม หรือ ความเจ็บปวดอันสุดทานทน หรือเป็นพิษภัยที่ร้ายแรง สำหรับคนที่เสาะแสวงหาอย่างหน้ามืดตามัว

เราท่านทั้งหลาย ปรารถนาที่จะก้าวข้ามไปสู่ “แดนมธุรส” ด้วยกันทั้งนั้น แต่วิถีใดเล่า ที่จะนำเราไปสู่แดนนั้นได้ โดยไม่บอบช้ำและเจ็บปวด และสามารถยืนอยู่ที่นั่นให้นานเท่านาน

บางทีชีวิตของตัวละครในเรื่องนี้ จะให้ข้อคิดแก่ท่านได้บ้าง ต่อปัญหาที่ว่าอะไรคือ “มธุรส”ที่แท้จริงของชีวิต!

Don`t copy text!