พรานล่ามนุษย์

พรานล่ามนุษย์

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

อดุล ราชวังอินทร์ เป็นนักเขียนนิยายรุ่นครู ผลงานส่วนใหญ่จะเป็นแนวบู๊แอ็กชันที่เรียกว่า อาชญนิยาย มีกลิ่นอายกร้าว ดุดัน เต็มไปด้วยรสชาติแห่งชีวิต ซึ่งผู้เขียนได้ประสบเห็นมาจากข้อมูลในหนังสือ ทำเนียบนักประพันธ์ ของ ป.วัชราภรณ์ ได้ เขียนเล่าเรื่องราวชีวิตที่ก้าวผ่านอุปสรรคและบทสอบในสังเวียนชีวิตของเขาไว้อย่างเข้มข้นและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ อดุล ราชวังอินทร์ ตั้งแต่วัยประมาณ 18 ปี ก็เริ่มเข้าทำงานในหนังสือพิมพ์ หลักเมือง และเวียนว่ายอยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ต่างๆ จนเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เขาได้เดินทางไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วประเทศ ทำงานหลากหลายชนิด แม้แต่การค้าหมูกับทหารญี่ปุ่นเองก็ตาม แต่ด้วยมนต์น้ำหมึก ทำให้หวนกลับมาในวงการประพันธ์อีกครั้ง ด้วยผลงานนิยายเรื่องแรก ‘ชัยชนะมืด’ ที่เขาตัดสินใจ เขียนเอง พิมพ์เอง และขายเอง ในนามปากกา อดุล ราชวังอินทร์ และเป็นจุดเริ่มต้นให้มีผลงานเรื่องอื่นๆ ตามมา

ต่อมา อดุล ได้เข้าร่วมงานกับ ป.บูรณปกรณ์ จัดทำนิตยสาร เริงรมย์ และสร้างผลงานจำนวนมากมายในยุคนักประพันธ์ปากกาทอง (พ.ศ. 2493) เช่น วิลาส มณีวัต รัตนะ ยาวะประภาษ เสนีย์ บุษปะเกศ เป็นต้น

ผลงานในรูปแบบนวนิยาย ได้แก่ มังกรห้าเล็บ ยอดมังกร มุมมืดในฮ่องกง จอมพิฆาต รวมถึง พรานล่ามนุษย์ นิยายขนาดสั้นเล่มนี้ด้วย นอกจากนี้ ด้วยความสนใจในเรื่องจีน เขาจึงมีนวนิยายอิงพงศาวดารจีนลงพิมพ์ใน หลักเมือง อยู่เป็นประจำ

สำหรับ พรานล่ามนุษย์ แม้จะเป็นนวนิยายขนาดสั้น แต่ก็อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวความตื่นเต้น หักเหลี่ยมเฉือนคม ในสไตล์บู๊ ผสมผสานทั้งปมลึกลับสืบสวนสอบสวน และบทพิศวาสวาบหวาม สมกับเป็นอาชญนิยาย จากปลายปากกาของ อดุล ราชวังอินทร์ ที่เขียนขึ้นโดยอาศัยฉากของพระนครในยุคนั้น ร่วมกับเหตุการณ์สมาคมลับที่มีปมความขัดแย้งกัน จนก่อให้เกิดเรื่องราวอันตื่นเต้นระทึกใจขึ้น โดยสมาคมลับซาเซียนแห่งนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มสมาชิกทรชนในประเทศไทย ที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์ในพระนคร ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารผู้ขัดผลประโยชน์ของพวกมัน และครั้งนี้ พวกมันก็เดินทางมายังบ้านของ อาคม มังคลานนท์ ผู้ประกาศข่าวหนุ่มใหญ่ ของสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

ซาเซี่ย หนึ่งในทีมสมาชิก ได้จับตัวมารศรีและลูกสาวของเขาเป็นตัวประกัน เพื่อให้อาคมอ่านข่าวสำคัญที่พวกมัน ต้องการสื่อไปยังสมาชิกชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยอยู่ในเขตพระนคร

“โปรดทราบว่า นี่เป็นคำสั่งจากประมุขของสมาคม เราต้องการเงินจำนวนหนึ่งล้านบาท สำหรับงวดแรก เพื่อใชจ่ายในกิจการของสมาคม และทุกท่าน ต้องรวบรวมส่งให้กับเราในวันพฤหัสบดีที่จะมาถึง ถ้าเงินไม่ถึงมือเราตามกำหนดเวลา เราจะเผาท้องสำเพ็งให้ราบเป็นหน้ากลองด้วยวิธีที่ท่านจะนึกไม่ถึง เพื่อพิสูจน์ว่า ประกาศิตของสมาคมซาเซียนศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน และเพื่อเป็นการทดลองสมรรถภาพของตำรวจไทยไปในตัว!”

แม้ว่าภายหลังพวกมันจะปล่อยตัวมารศรีออกมา แต่ก็จับลูกสาวของหล่อนเป็นตัวประกัน เพื่อบังคับให้สองสามีภรรยาได้ทำงานให้กับพวกมัน

งานนี้ ถือเป็นการหยามหน้าตำรวจอย่างอุกอาจ จนทำให้ พันตำรวจตรีทองจันทร์ วีรยุทธ สารวัตรปราบปรามพิเศษ ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมตำรวจ ให้เร่งลงมือจัดการทุกอย่างให้เด็ดขาด ก่อนที่จะเกิดวินาศกรรมครั้งใหญ่ในชุมชนชาวจีนย่านสำเพ็ง ใจกลางเมือง

แต่ในเวลานั้นเอง ได้เกิดเหตุการณ์ประจวบเหมาะสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อรถของ ไอ้แผน กิ่งเพชร ได้ขับชนประสานงากับรถบรรทุกจนเสียชีวิตคาที่ โดยตำรวจพบสมุดบันทึกที่มันมีกำหนดนัดหมายกับบุรุษปริศนานาม ‘คุณหลวง’ ในวันรุ่งขึ้น ไอ้แผน กิ่งเพชร นับเป็นอาชญากรสำคัญคนหนึ่งในบัญชีดำของกรมตำรวจ มันเคยทำงานค้าฝิ่นและทำธนบัตรปลอม จนกระทั่งหนีมากบดานอยู่ที่พระนคร โดยรับงานมิจฉาชีพโดยเป็นสมุนเอกที่อยู่ในทีมงานของหลวงเทพธานินทร์ ที่ตำรวจสืบทราบว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับสมาคมลับแห่งนี้ และยังเป็นเจ้าของโคโคนัทโคร้ป บาร์ อีกด้วย บางที ‘คุณหลวง’ ในสมุดบันทึกนั้น อาจจะหมายถึงหลวงเทพธานินทร์ผู้นี้ก็เป็นได้?

ในเวลาเดียวกัน ทางตำรวจก็อายัดตัวชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากโตเกียวที่สนามบินดอนเมืองได้ในคืนวันเดียวกัน บุคคลผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาทุกอย่างเหมือนกับ ไอ้แผน กิ่งเพชร ราวกับฝาแฝด เขาคือนายทหารหนุ่ม ร้อยเอกอมรทัต นาคราช ที่เดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นถึงหกปี สารวัตรทองจันทร์มีโอกาสพูดคุยกับอมรทัต ที่ยินดีจะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือกรมตำรวจในการติดตามกระชากหน้ากากผู้ที่อยู่เบื้องหลังสมาคมลับซาเซียนนี้เช่นกัน และแล้ว การเสียชีวิตของไอ้แผนก็ถูกปิดเป็นความลับ โดยที่ แผน กิ่งเพชร ตัวปลอม ก็ปรากฏกายขึ้นที่บาร์โคโคนัท โคร้ป ในคืนวันต่อมา…

สารวัตรทองจันทร์ได้รับโทรศัพท์ลึกลับของหนึ่งในสาม ‘คิง’ ที่เป็น ผู้ก่อตั้งสมาคมซาเซียน ในประเทศไทย พวกมันมีสาขาทั้งในมลายู ฮ่องกง และประเทศเพื่อนบ้าน และกำลังแผ่ขยายอำนาจเถื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว ผู้ที่โทรศัพท์มาคือ ‘คิงโพแดง’ ซึ่งเป็น อันดับสาม รองจาก คิงดอกจิก และคิงโพดำ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่สุดของพวกมัน เพื่อแจ้งว่าจะก่อวินาศกรรมครั้งต่อไป!

อมรทัตได้รู้จักกับอัญชลี สายลับสาวของกรมตำรวจที่แฝงตัวปลอมเป็นหญิงสาวคนรักของไอ้แผน และล่วงรู้ถึงอุปนิสัยใจคอต่างๆ ของมัน เธอช่วยเทรนอมรทัตเพื่อให้รับบทบาทของ แผน กิ่งเพชร ได้สมบูรณ์ที่สุด และในเวลาเดียวกันก็ทำให้คนทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น จนกลายเป็นความสัมพันธ์ อันลึกซึ้ง

“ปากของคุณน่ะน่ารัก… มีไว้สำหรับจูบ ไม่ใช่สำหรับพูดเงยหน้าสักนิดเถอะ ขอจูบให้ชื่นใจสักที”

หล่อนสั่นหน้า “ม่ายค่ะ… คุณจูบทีไร ดิฉันหนาวเหมือนจับไข้ แต่มันก็ทำให้ดิฉันเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก”

ว่าแล้วหล่อนก็เผยอริมฝีปากสีกุหลาบสด ผงกศีรษะขึ้นรับริมฝากของเขาอย่างดูดดื่ม… ร่างระทวยเหมือนดอกไม้ไหว

“อมรทัตขา ดิฉันรักคุณเสียจริงๆ คุณรู้ไหม พระเจ้าสร้างผู้หญิงสวยมาไว้ทำไม”

“พระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะอวดความสวยที่พระองค์สร้าง แต่แทนที่ผู้หญิงจะทำตามความประสงค์ของท่าน กลับเก็บความสวยซ่อนเสียมิดชิด”

“ผู้หญิงเขาอายต่างหากล่ะ”

หล่อนทำตามหวานแก้มแดงไปด้วยสายเลือดซ่าน แล้วผวาเข้ากอดเขาไว้แน่น…

อมรทัตติดต่อกับสารวัตรทองจันทร์ หัวหน้าทีมสืบสวน ‘เสือดาว’ เพื่อขอให้สหายของเขาอีกสี่คนได้มาร่วมในปฏิบัติการท้านรกครั้งนี้ ประกอบด้วย หมัด มะตะบะ มุสลิมหนุ่มนักบู๊ เฮง แซ่ห่าน คนจีนโพ้นทะเลที่ยอมสละชีวิตเพื่อประเทศไทยอันเป็นเมืองนอนของตัวเอง ธง ทองสุกปลั่ง และ โชน รณชิต สองสหายที่ติดคุกธารโต ยะลา และถูกปล่อยตัวออกมา เพื่อช่วยอมรทัตในการทำหน้าที่เพื่อชาติครั้งสำคัญ

และแล้ว ปฏิบัติการท้านรกก็เริ่มต้นขึ้น

นับตั้งแต่การปลอมตัวเข้าไปในโคโคนัท โคร้ป ของหลวงเทพธานินทร์จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หรือการสะกดรอยเพื่อติดตามมารศรีไปยังเกาะฮ่องกง เนื่องจากพวกซาเซียนปล่อยตัวหล่อนออกมา แต่ยังจับลูกสาวของเธอเป็นตัวประกัน และบังคับให้มารศรีนำเงินข้ามประเทศไปมอบให้นายใหญ่ที่ฮ่องกง จนทำให้นายทหารหนุ่มหล่อเองก็เกือบจะเผลอตัวเผลอใจไปกับเสน่ห์สาวใหญ่อย่างมารศรี หากเขาก็มีสติสัมปชัญญะเพียงพอที่จะหักห้ามใจ ไว้ได้ทัน

เรื่อง : พรานล่ามนุษย์

ผู้เขียน : อดุล ราชวังอินทร์

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา

ปีที่พิมพ์ : 2502

เล่มเดียวจบ

เรื่องราวในสามสิบสองบทของ พรานล่ามนุษย์ เต็มไปด้วยฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารเหยื่อในห้องปิดตายตามกำหนดเวลาของพวกมันที่เย้ยตำรวจจนจับมือดมไม่ได้ ถ้าหากว่าคิงโพแดงจะไม่โทรศัพท์มาเผยความภูมิใจของมันกับสารวัตรทองจันทร์

เป็นการฆาตกรรมโดยใช้ ‘เทียนไข’ สังหาร!

“เรื่องมันเป็นยังงี้ เมื่อวานนี้การไฟฟ้ากรุงเทพฯ ประกาศจะดับไฟในย่านบางกะปิเวลาสองทุ่ม ประจวบเหมาะกับเราตัดสินใจจะฆ่านายโอวบุ้นตั๊กพอดี สิ่งที่ตำรวจมองข้ามไปเพราะเห็นว่าไฟฟ้าเป็นของธรรมดาของการไฟฟ้าเมืองไทย จึงถูกนำมาเป็นเครื่องมือสังหารคน ใครๆ ก็รู้ว่าเวาลาไฟดับ สิ่งแรกที่จะนึกถึงก่อนคือเทียนไข… เราจึงจัดเทียนไขไว้ในลิ้นชักโต๊ะของเขา เมื่อเขาจุดมันขึ้นมาจึงพบจุดจบ เพราะไส้ของเทียนไขเล่มนั้นชุบยาพิษไว้ที่ตอนปลาย ผสมด้วยกรดกำมะถันและไซยาไนด์ เมื่อถูกไฟ กรดทั้งสองจะเกิดปฏิกิริยาส่งควันอันรุนแรงออกมา ใครที่สูดกลิ่นมันเข้าไปก็จะตายทันที!”

หรือแม้แต่ในฉากสุดท้ายของเรื่อง เมื่อกลุ่มของหลวงเทพธานินทร์ ซึ่งภายหลังถูกอมรทัตกระชากหน้ากากออกมาว่าคือคิงโพแดง และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการถล่มพระนครด้วยการใช้ ‘ค้างคาว’ ทว่าก่อนที่แผนการก่อวินาศกรรมจะสำเร็จ เฮง แซ่ห่าน ที่ปลอมตัวเป็นไส้ศึกของพวกมันและขับรถนำค้างคาวไปปล่อย ก็ตัดสินใจสละชีวิตของตนเอง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

“เราจะเริ่มเปิดกรงค้างคาว ปล่อยออกทีละตัว ตั้งแต่สะพานกษัตริย์ศึก เรื่อยไปตามถนนกรุงเกษมตัดออกทางสามแยก เข้าเยาวราช แล้วข้ามไปฝั่งธนบุรี…”

“ปล่อยมันไปทำไมกันพี่ ไอ้ค้างคาวน่ะ”

เฮงถามอย่างไม่เข้าใจ

“อ้าว เอ็งไม่รู้เหรอว่าเรากำลังจะเผากรุงลงกา อ้ายค้างคาวทุกตัวมันมีลูกระเบิดเพลิงขนาดจิ๋วมัดติดกับหน้าอก เป็นระเบิดเวลากำลังแรงสูง ตามปกติ ค้างคาวจะบินไปเกาะตามเพดาน พอถึงเวลาที่เราตั้งไว้  ไฟก็จะไหม้ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมกัน!”

ภารกิจทำลายล้างสมาคมลับซาเซียนในประเทศไทยจบสิ้นลงแล้ว แม้ว่าตัวก่อการใหญ่ คือคิงโพดำจะสามารถหลบหนีไปได้ แต่อย่างน้อยก็ได้สร้างความสงบสุขให้กับคนไทยและชาวจีน ที่อาศัยอยู่เมืองไทยได้ ด้วยความเสียสละของเหล่าผู้กล้าในครั้งนี้ทุกคน

อาชญนิยายเรื่องนี้ ตอนอ่านไปแรกๆ จะให้ความรูสึกคล้ายเรื่อง เล็บครุฑ ของพนมเทียน ที่น่าจะเขียนในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยเนื้อเรื่องที่มีการปลอมแปลงตัวพระเอก (คม สรคุปต์) แทน ผู้ร้าย (ชีพ ชูชัย) ที่หน้าตาเหมือนกันและเสียชีวิตไป แม้ว่าเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้จะสั้นกว่าก็ตาม แต่ภายใน 32 บทของ พรานล่ามนุษย์ ก็อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชัน การต่อสู้หักเหลี่ยมเฉือนคม ของตัวละครเอก และตัวละครต่างๆ ที่ผ่านเข้ามามากมาย เป็นการดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว ชนิดที่คนอ่านเองแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลย

 

น่าเสียดายว่าตัวละครหลายตัว ปรากฏเพียงช่วงสั้นๆ ทั้งที่น่าจะมีบทบาท และรายละเอียดมากกว่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสหายทั้งสี่ของอมรทัต หรืออัญชลี ที่น่าจะเป็นนางเอกของเรื่อง หรือกลุ่มคิงทั้งสามที่อยู่หลังฉากเหตุการณ์นองเลือดทั้งหมด ที่น่าจะมีภาคต่อของเรื่องออกไปได้อีก

อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเรื่องนี้ได้เขียนขยายรายละเอียดยาวออกไป น่าจะทำให้ยิ่งอ่านได้สนุก ลุ้นระทึกมากยิ่งไปกว่านี้อีกมากเลยทีเดียวครับ

 

Don`t copy text!