พิภพสนธยา

พิภพสนธยา

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

บรรณาภิรมย์ โดย หมอกมุงเมือง คอลัมน์ที่อ่านเอาขอมอบความรื่นรมย์ให้กับผู้อ่านด้วยภาพปกสวยๆ และเนื้อเรื่องในแบบต่างๆ ของนักเขียนชั้นครูที่เคยผ่านมือ ผ่านตาและผ่านใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรำลึกถึงผลงานของนักเขียนแต่ละท่านให้พอหายคิดถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน ภาพและตัวอักษรจะปรากฏให้เห็นอีกครั้งในยุคของการอ่านออนไลน์

พิภพสนธยา คือนิยายแนวผจญภัยกลางป่าลึกผสมความลึกลับตื่นเต้นในสไตล์ ก่ำฟ้า เฟือนจันทร์ หรืออีกนามปากกาหนึ่งที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ จินตวีร์ วิวัธน์ นั่นเอง สำหรับผลงานของท่านในนามปากกานี้ จะมีด้วยกัน 4 เรื่อง คือ พิภพสนธยา และบาดาลนคร อันเป็นภาคต่อเนื่องกัน และตีพิมพ์ลงในนิตยสารบางกอก ส่วนอีกสองเรื่อง ก็คือ บุปผาเพลิง และ ภวังค์ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่เขียนลงอย่างเสร็จสมบูรณ์ ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ซึ่งสองเรื่องนี้ ก็ได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารทานตะวัน ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกันกับนิตยสาร บางกอก นั่นเอง

เรื่องราวของพิภพสนธยา เริ่มต้นขึ้นจากค้นพบ หนทางเข้าสู่ประตูโลกใต้พิภพของทีมสำรวจดอกเตอร์คอนราด จนคณะนักสำรวจได้มีโอกาสผ่านเข้าสู่ดินแดนใต้โลก หากยังไม่ทันได้เดินทางต่อไปจนถึงปลายทาง ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้คณะผู้สำรวจทั้งหมดเสียชีวิตลงจากมหันตภัยพิสดาร เหลือคอนราดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด และเขาก็ได้พบกับพรานเที่ยง ระหว่างที่พรานวัยฉกรรจ์ผู้นี้กำลังออกล่าสัตว์ในป่าทะเยวา ผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลในเขตชายแดนไทย พม่า

และจากนั้นไม่นาน ดอกเตอร์คอนราด ก็เสียชีวิตลงด้วยไข้ป่า

+++++++++++++++++++++

สำหรับเหตุการณ์ในเวลาต่อมา ได้กล่าวถึง ครอบครัวตระกูลนันทเศรณี ซึ่งมีพันเอกกรัณย์ นายทหารนอกราชการ และมีงานอดิเรกก็คือเป็นนักนิยมไพร โดยพันเอกกรัณย์มี ลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวชื่อ กิ๋วหรือกุฎาภา ในเช้าวันหนึ่งพันเอกกรัณย์ได้ต้อนรับแขกคนพิเศษ คือดอกเตอร์ริชาร์ด เฟอร์กูสัน สหายของ ดอกเตอร์คอนราด และเป็นเพื่อนร่วมท่องไพรกับพันเอกกรัณย์มาก่อน

ริชาร์ดบอกว่า เขาต้องการออกเดินทางสำรวจผืนป่าทะเยวา เพื่อหาโพรงลับสำหรับผ่านเข้าสู่ดินแดนใต้โลก ตามความใฝ่ฝันของ คอนราดสหายผู้ล่วงลับไปแล้วของเขา โดยมีแผนที่โบราณคล้ายลายแทง ภาษาพม่าโบราณมาด้วย เขาได้ชักชวน พันเอกกรัณย์ให้ออกร่วมคณะนี้ไปพร้อมกัน โดยติดต่อผ่าน พรานเที่ยง ชายผู้เคยช่วยเชีวิตดอกเตอร์คอนราด ในห้วงเวลาสุดท้ายของเขา และเป็นพยานรับรู้ความลับเกี่ยวกับหนทางลับเข้าสู่ผืนโพรงใต้พิภพแห่งนี้

+++++++++++++++++++

“มีผู้เขียนทฤษฏีไว้นานแล้วว่า ใต้ผิวโลกเรานี้ มีที่ใดที่หนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงลึก และมีสภาวะแวดล้อมที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ คนโบราณได้ค้นพบความลับเรื่องนี้ มานานแล้ว ต่อมาเมื่อมีภัยพิบัติอันร้ายแรงเกิดขึ้นบนผิวพิภพ คนเหล่านั้นก็พากันหลบเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงนั้น ซึ่งเสมือนที่หลบภัยธรรมชาติอันปลอดภัย เมื่ออยู่นั่นอย่างสุขสบายนานๆเข้า เขาก็เลยเลิกล้มความคิดที่จะกลับขึ้นมาบนผิวโลก จึงยึดโพรงพิภพนั้นเป็นที่อาศัยทำมาหากินสืบทอดเผ่าพันธุ์กันมาตราบนั้นจนกระทั่งบัดนี้!”

“หมายความว่าเดี๋ยวนี้ ในโพรงนั้นก็ยังคงมีคนอาศัยอยู่อย่างนั้นรึ?”

ฝ่ายมาเยือนก้มศีรษะรับ

และแล้วการเดินทางเข้าสู่ผืนป่าทะเยวา จึงเริ่มต้นขึ้น โดยมีพรานเที่ยง เป็นหัวหน้าพราน และประกอบด้วยทีมสำรวจของพันเอกการัณย์และกุฎาภาบุตรสาว ดอกเตอร์ริชาร์ด ศาสตราจารย์แมทธิว นักธรณีวิทยา และ กลุ่มสหายหนุ่มชาวไทยอีกสามคนคือ วาทิต นักชีววิทยา โกมล นักเขียน และ นายแพทย์สิทธา สำหรับวาทิตเอง นอกเหนือจากความสนใจทางชีววิทยาที่ตนเองร่ำเรียนมาแล้ว เขายังสนใจทางโบราณคดีอีกด้วย ในการเดินทางอันยาวนานครั้งนี้ ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกถูกชะตากับกุฎาภาตั้งแต่แรกเห็น

และจากนั้น ก็คือการเผชิญภัย เข้าสู่ป่าดงดิบที่แทบไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อนในป่าทะเยวา เพื่อหาปากทางเข้าสู่ ดินแดนใต้ผืนโลกก็เริ่มต้นขึ้น คณะนักสำรวจต้องเผชิญภัยกับสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าต้นไม้พิษ แมลงที่มีรูปร่างเหมือนจระเข้ มนุษย์ประหลาดรูปร่างครึ่งคนครึ่งแพะ ที่ใช้มนตราแห่งเสียงเพลงกล่อมคณะนักสำรวจจนหลับใหลและสะกดกุฎาภาให้ตามออกมา หากโชคดีที่วาทิตตื่นขึ้นมาและช่วยชีวิตหญิงสาวไว้ได้ทันท่วงที

ระหว่างการเดินทาง ทุกคนพยายามแปลภาษาโบราณในแผนที่นั้นได้บ้าง จึงรู้ว่าบริเวณที่ผ่านมาคือ “ทุ่งคนธรรพ์” และมี “เพลงผีฟ้า ล่องฟ้า ผีแถนป่าอึงอล” จากนั้น ถ้อยคำก็ขาดหายไป จนมาต่อที่ประโยคว่า “บินมาพะพลุ่ง จุ่งระวังราตรี…” เมื่อผ่านทุ่งคนธรรพ์นั้น จนมาถึงหุบกาสิง

และเผชิญหน้ากับ อสูรร้ายที่มีพลังอำนาจลึกลับ นามกากนาสูร!

เรื่อง : พิภพสนธยา

ผู้เขียน : ก่ำฟ้า เฟือนจันทร์

สำนักพิมพ์ : โชคชัยเทเวศร์

ปีที่พิมพ์ : 2527

จากหัวหูอันปกคลุมด้วยเส้นผมหยาบยุ่งเหยิง ดวงหน้าใหญ่กว้างนั้นบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไร เพราะผสมผสานคละเคล้ากันไปหลายประการนัก ดวงตากลมโตเหมือนตานกฮูกแดงฉาดฉานทอประกายเจิดจ้า ราวกับมีหลอดไฟซ่อนอยู่ข้างใน จมูกและปากที่ยาวยื่นออกมาเหมือนปากอีกา คางที่แหลมแต่ไปกว้างตรงขากรรไกร… และผิวหน้าอันหยาบกร้านขรุขระด้วยปุ่มปม…

ต่ำลงมาอีก เรือนกายนั้นเหมือนนกใหญ่มหึมาที่ไม่เหมือนนกใดในโลก ปีกอันกว้างทรงพลังบัดนี้หุบแนบลำตัว แต่ก็มองเห็นชัดว่า ยามเมื่อกางออก มันจะต้องทรงไว้ซึ่งพลานุภาพอย่างสุดขีด

กาสิง!

อสูรร้ายที่เป็นส่วนผสมของสัตว์ต่างชนิดมารวมหลอมกับยักษ์ร้าย กลายเป็นอสูรกายที่วิปริตที่สุด ซึ่งวงการชีววิทยาและสัตวศาสตร์ จะต้องตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อประจักษ์ความจริงเข้ากับตา

ด้วยความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในคณะนักสำรวจ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถสังหารอสูรร้ายจนดับดิ้นลงในที่สุด ในช่วงเดียวกับที่แกะรอยข้อความบันทึกมาถึงแผนที่ลับสู่ปากทางเข้าบาดาลนคร

แท้จริงแล้ว มันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหุบกาสิงนี้เอง

++++++++++++++++++++++++

การเดินทางฝ่ามหันตภัย ของคณะสำรวจพันเอกการัณย์ได้ฟันฝ่าภยันตรายอันน่าพิศวงของป่าทะเยวา อันเป็นเสมือนดินแดนพิภพสนธยา จวบจนมาถึงปลายทางแล้ว ถัดจากนี้คือการเริ่มต้นผจญภัยในอีกทิศทางหนึ่ง ที่สุดแสนพิสดารยิ่งกว่า…

นั่นคือ การบุกบั่นลึกลงไปสู่ใต้ก้นบึ้งพิภพ ณ ดินแดนใจกลางของโลกอันสุดแสนเร้นลับเป็นปริศนาท้าทายอย่างฉกาจฉกรรจ์

เพื่อค้นหา อารยธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษยชาติ ที่บัดนี้ได้ล่มสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิงจากพื้นผิวพิภพ ทว่ายังคงเรืองรองกระจ่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของก้นบึ้งอันปราศจากผู้สำรวจพบ

ณ ที่นั่น… บาดาลนคร!

น่าเสียดายที่ พิภพสนธยา จบลงเพียงเท่านี้ รายละเอียดการผจญภัยของทีมนักสำรวจเดนตาย ดำเนินต่อไปในนิยาย บาดาลนคร หรือพิภพสนธยา ภาค 2 นั่นเองครับ

Don`t copy text!